
Youth In Charge Talks

การเสวนา Youth In Charge Talk :
Soft Power ไทยไปอย่างไรต่อ ในหัวข้อการพัฒนา "อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย" เพื่อผลักดัน Soft Power ไทยไปด้วยกัน
ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีจุดแข็ง
-
เยาวชนที่กำลังสำเร็จการศึกษาจากคณะวิชาที่เกี่ยวข้องไม่กล้าที่ประกอบอาชีพอุตสาหกรรมนี้
-
ประเด็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือการขับเคลื่อน Soft Power ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนหรือกำหนดในแผนพัฒนาระดับชาติ

การเสวนา Youth In Charge Talk :
Soft Power ไทยไปอย่างไรต่อ ในหัวข้อ "แนวทางการพัฒนาเมืองอย่างมีส่วนร่วม"
ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
การพัฒนาย่านพัฒนาเมือง คือ การรักษาศักยภาพของพื้นที่ให้เป็นจุดแข็ง
-
การมีส่วนร่วมของทุกคน คือ หัวใจสำคัญของการพัฒนาย่านพัฒนาเมือง
-
การพัฒนาย่านพัฒนาเมืองเชื่อมโยงกับการพัฒนาพื้นที่และพัฒนาคนไปพร้อม ๆ กัน
-
การสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นชุมชนดั้งเดิมกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลง

การเสวนา Youth In Charge Talk :
Soft Power ไทย ไปอย่างไรต่อ ในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมออกแบบแฟชั่นเพื่อผลักดัน Soft Power ไทยสู่สากล"
ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
เสน่ห์ความเป็นไทยที่หลากหลาย ทั้งวิธีการคิด วัฒนธรรม วิถีชีวิต และวัสดุ ฯลฯ สามารถนำมาต่อยอดเป็นองค์ประกอบของเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้อย่างสร้างสรรค์
-
การพัฒนาต่อยอดความเป็นไทยในอุตสาหกรรมแฟชั่นจะต้องมีความร่วมสมัย

การเสวนา Youth In Charge Talk : Soft Power ไทย ไปอย่างไรต่อ
ในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรี T-Pop สู่สากล"
ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
Thailand Popular Music คือจักรวาลดนตรีที่ครอบคลุมหลากหลายแนว ทั้งป๊อป ร็อค อาร์แอนด์บี ตลอดจนวงอินดี้
-
ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดนตรีให้เป็น Soft Power ของไทยจำเป็นต้องมีการเลือก “หัวหอก” ประเภทดนตรี ศิลปิน หรือวงดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมเป็นตัวจุดฉนวนในการขับเคลื่อน
การเสวนา Youth In Charge Talk :
Soft Power ไทยไปอย่างไรต่อ ในหัวข้อการพัฒนา "อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย" เพื่อผลักดัน Soft Power ไทยไปด้วยกัน
ในวันศุกร์ ที่ 4 สิงหาคม 2566 ณ ห้อง ศ.ดร.สุดใจ เหล่าสุนทร สำนักหอสมุดกลาง ชั้น 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้เข้าร่วม
-
คุณณัฐิยา สุจินดา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
-
คุณอินทพันธุ์ บัวเขียว รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
-
คุณนัฐ มินทราศักดิ์ Manager Pipeline Technical Director - Marvel Studios ตัวแทนคนไทยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และอนิเมชั่นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่มีตลาดระดับโกล จึงมีความเข้าใจเรื่องเทรนด์ด้านภาพยนตร์และความต้องการของตลาดโลก
-
คุณจุฬญาณนนท์ ศิริผล นักผลิตภาพยนตร์อิสระ ศิลปินภาพเคลื่อนไหว และอาจารย์คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งมีความเข้าใจความต้องการและข้อจำกัดของการผลิตภาพยนตร์ที่แตกต่างกันระหว่างภาพยนตร์อิสระกับภาพยนตร์จากค่ายใหญ่
-
คุณบุณยาพร สายสร้อย เยาวชนที่กำลังศึกษาคณะศิลปศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่สนใจเรื่องการส่วนร่วมของเยาวชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีย์ของประเทศไทย
-
คุณมงคล ชุ่มเงิน เยาวชนที่สำเร็จการศึกษาจากสาขาวิชาการสื่อสารเพื่อการจัดการนวัตกรรม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่สนใจเรื่องการธุรกิจภาพยนตร์และซีรีย์บนแพลตฟอร์มออนไลน์



ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีจุดแข็ง คือ มีคณะวิชาและการเรียนการสอน และมีบริษัท Production และ Post – Production ที่มีศักยภาพและคุณภาพสูง รวมถึงยังมีการจัดจ้างงาน (Outsource) จากบริษัทผลิตภาพยนตร์ระดับโลก มีบริษัทเอกชนรายใหญ่ที่เข้มแข็งและมีตลาดขนาดใหญ่พอสมควร ซึ่งเป็นโอกาสที่เยาวชนคนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ได้อย่างดี
-
เยาวชนที่กำลังสำเร็จการศึกษาจากคณะวิชาที่เกี่ยวข้องไม่กล้าที่ประกอบอาชีพอุตสาหกรรมนี้ เพราะกลัวว่าจะไม่มีความมั่นคงทางการเงินและการใช้ชีวิต เพราะแรงงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยส่วนใหญ่เป็นผู้รับจ้างอิสระ (Freelance) ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองหรือได้รับการยอมรับวิชาชีพภาพยนตร์จากกระทรวงแรงงาน ซึ่งรวมถึงขาดการกำกับดูแลเวลาการทำงานต่อวัน ค่าจ้าง และระบบสวัสดิการ
-
ประเด็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือการขับเคลื่อน Soft Power ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนหรือกำหนดในแผนพัฒนาระดับชาติ แต่เป็นการทำงานตามภารกิจของหน่วยงาน (Agenda-based) ซึ่งแต่ละหน่วยงานไม่ได้ทำงานอย่างเชื่อมโยงหรือมีจุดร่วมเดียวกัน
ข้อเสนอและแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อการ “พัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยเพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและได้เติบโตในอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต”
-
ควรมีการ “ผลิตงาน สร้างคน เข้าสู่ตลาดโลก” พัฒนาจุดแข็งของอุตสาหกรรมนี้ที่ประเทศไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว ทั้งด้านพัฒนาศักยภาพของบริษัท Production และ Post – Production และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูงอยู่แล้วให้มีคุณภาพและมาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยภาครัฐและเอกชนร่วมกันส่งเสริมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialization) ของบริษัทหรือ Production House ในประเทศไทย
-
การรวมตัวกันของคนทำงานและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ในรูปแบบ “สภา/สหภาพ คนทำงานภาพยนตร์” ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลสวัสดิภาพของคนทำงานภาพยนตร์ทั้งหมดทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นชั่วโมงการทำงานและรายได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ควรมีความมั่นคง เพื่อให้อุตสาหกรรมขับเคลื่อนต่อไปได้ รวมถึงการมีบทบาทในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยตรง ทั้งการเสนอและแก้ไขในเชิงกฎหมายและนโยบาย
-
ภายใต้อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีการแตกแขนงสาขาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ค่ายใหญ่หรือภาพยนตร์อิสระ ซึ่งมีความต้องการและแนวทางในการพัฒนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นแล้วหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ต้องการศึกษาหรือหารือร่วมกับบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ควรศึกษาและหารือแยกตามสาขาเพื่อให้ได้ข้อเสนอ แนวทาง หรือความต้องการที่แท้จริงอย่างครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรม
-
รัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนการต่อยอดเนื้อหาภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ และวัฒนธรรมท้องถิ่น อาทิ วัฒนธรรมอีสาน ซึ่งเป็นโอกาสและจุดแข็งที่ประเทศไทยทำได้ดีอยู่แล้วในตลาดต่างประเทศ
-
ปรับแก้หรือยกเลิกการเซ็นเซอร์เนื้อหาของภาพยนตร์ และใช้ระบบจำแนกประเภทภาพยนตร์ (Motion Picture Rating System) เรื่องนั้นโดยกำหนดอายุของผู้เข้าชมแทน
การเสวนา Youth In Charge Talk : Soft Power ไทยไปอย่างไรต่อ
ในหัวข้อ "แนวทางการพัฒนาเมืองอย่างมีส่วนร่วม"
ในวันวันที่ 23 กันยายน 2566 ณ โรงแรมเบลล่า บี (พระราม7-บางกรวย)
ผู้เข้าร่วม
-
ผศ.ดร.จิรันธนิน กิติกา อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการ ส่งเสริมสนับสนุน (Empower) นักศึกษาและคนในย่านช้างม่อย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมกันพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ ด้วยแนวคิดการพัฒนาเมืองที่สร้างการมีส่วนร่วมและให้ความสำคัญกับ "คนในพื้นที่"
-
คุณณฐฎล มหาจันทร์ ผู้ก่อตั้งไร่กาแฟนายจันทร์ x Faffeine Cafe พื้นที่แห่งการแบ่งปัน ทั้งความรู้และความเห็นอกเห็นใจ ตลอดจนเป็นการสร้างเครือข่าย (Community) ของคนที่ทำงานพัฒนาอำเภอหนองเรือและอำเภอใกล้เคียง ในจังหวัดขอนแก่นอย่างสร้างสรรค์
-
คุณอรุณี อธิภาพงศ์ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม AriAround เพื่อการพัฒนาย่านอารีย์-ประดิพัทธ์ให้เป็นชุมชนในฝัน ภายใต้แนวคิดความยั่งยืน เชิญชวนคนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยความสุขและสนุกสนาน ทั้งยังเป็นตัวกลางในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และคนในพื้นที่
-
คุณภัฏ รักษ์ทองธนา ผู้ขับเคลื่อนเมืองหาดใหญ่ ผ่านกลุ่ม Hatyai Loll Soen ที่ชักชวนให้ผู้คนมาร่วมกันทำสงขลาให้หน้าอยู่ ผ่านการทำงานร่วมกับเครือข่ายเยาวชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การเดินเมือง เพื่อวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ของเมือง หรือขับเคลื่อนงานด้านศิลปะผ่าน Art Gallery และฉายภาพยนตร์นอกกระแส เป็นต้น
-
คุณพงษ์ศักดิ์ บุตรดาวาปี ตัวแทนเยาวชนจากโครงการ การพัฒนาแบบจำลองเสมือนของสถาปัตยกรรม ศาสนสถานในอารยธรรมขอมบนพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่ดำเนินงานในพื้นที่ร่วมกับคนในชุมชน ตำบลเปือยน้อย อำเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น มาแล้วระดับหนึ่ง
-
คุณจตุพล จันทร์มล โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวพหุวัฒนธรรมย่านเมืองเก่าสงขลา จังหวัดสงขลา ที่ดำเนินงานในพื้นที่ร่วมกับคนในชุมชนเมืองเก่าสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา มาแล้วระดับหนึ่ง



ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
การพัฒนาย่านพัฒนาเมือง คือ การรักษาศักยภาพของพื้นที่ให้เป็นจุดแข็ง ไม่ว่าจะเป็น ศักยภาพของผู้คน วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม หรือเครือข่าย (Community) ทั้งที่เป็นเครือข่ายคนในพื้นที่เดียวกันและเครือข่ายผู้ที่มีความสนใจเดียวกัน โดยมีกิจกรรม เทศกาล หรือแพลตฟอร์มกลางที่ให้คนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ผ่านการได้ปลดปล่อยศักยภาพ แลกเปลี่ยนความรู้หรือประสบการณ์กัน ซึ่งนักขับเคลื่อนหรือนักพัฒนาเมืองจะเป็นตัวกลางที่รวมความต้องการที่หลากหลายของคนในพื้นที่เพื่อหาแนวทางการพัฒนาที่สมดุล ซึ่งเมืองหรือย่านนั้น ๆ สามารถต่อยอดไปสู่การเป็น Soft Power เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวสู่ระดับโลกต่อไปได้
-
การมีส่วนร่วมของทุกคน คือ หัวใจสำคัญของการพัฒนาย่านพัฒนาเมือง เพราะการพัฒนาต้องอยู่บนพื้นฐานของความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริงจึงจะยั่งยืน ซึ่งเป็นจุดร่วมที่ผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกัน
-
การพัฒนาย่านพัฒนาเมืองเชื่อมโยงกับการพัฒนาพื้นที่และพัฒนาคนไปพร้อม ๆ กัน ผ่านการแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการเพิ่มมูลค่าพื้นที่ในรูปแบบใหม่ ดังนั้นจึงต้องมีคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา “รูปแบบใหม่” ผ่านแนวคิด ความคิดสร้างสรรค์ หรือข้อเสนอจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ ดึงศักยภาพของคนรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ มาร่วมกันพัฒนา
-
การสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นชุมชนดั้งเดิมกับการพัฒนาเปลี่ยนแปลง คือ การเชื่อมโยงคนกับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ สถานที่ กิจกรรม หรือความสนใจ ที่มีเมืองเป็นศูนย์กลางเพื่อให้เกิดความรักและหวงแหนพื้นที่และเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในพื้นที่ ทั้งเรื่องการค้าขาย การทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ และนำไปสู่การร่วมกันคิดร่วมกันพัฒนาเมืองของตัวเองต่อไปอย่างยั่งยืน
ข้อเสนอและแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อ “การพัฒนาย่านพัฒนาเมืองอย่างมีส่วนร่วม”
-
ทุกภาคส่วนต้องร่วมคิด ร่วมเรียนรู้ ร่วมกันทำ ทั้งประชาชน ภาครัฐ มหาวิทยาลัย รวมถึงคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็ก หรือเยาวชน ผ่านการเปิดพื้นที่กลางของทุกเมืองทุกย่านเพื่อให้คนในพื้นที่ได้แสดงความคิดเห็น ความต้องการที่แท้จริง และร่วมกันหาแนวทางในการพัฒนาร่วมกัน
-
สร้างพื้นที่ภายในย่าน เมือง หรือชุมชนนั้นให้ดึงดูดเยาวชนคนรุ่นใหม่กลับคืนสู่ท้องถิ่น ผ่านการสร้างสถานที่/พื้นที่ที่มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งเครือข่ายคนในพื้นที่เดียวกัน และเครือข่ายผู้ที่มีความสนใจเดียวกัน เพื่อสร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เป็น พลเมืองตื่นรู้ (Active Citizen) ที่มีใจและมีพลังในการร่วมพัฒนาบ้านเกิดตัวเองต่อไป
-
งบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น อาทิ เทศบาลเมือง หรือศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ เพื่อสนับสนุนและต่อยอดความคิดของเยาวชนคนรุ่นใหม่และคนในพื้นที่ให้ได้ขับเคลื่อนเมืองอย่างแท้จริง
-
เยาวชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการการพัฒนาย่านพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนได้ โดยการพัฒนาการทำงานภาคประชาสังคมหรือการขับเคลื่อนเมืองให้เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเยาวชนและพัฒนาเมืองไปพร้อม ๆ กัน
-
มีแนวทางในการเชื่อมโยงการพัฒนาที่หลากหลายทั้งจากภายในพื้นที่และนอกพื้นที่ อาทิ การพัฒนาระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า อาทิ โครงการที่ให้นักออกแบบหรือนักการตลาดคนรุ่นใหม่ในพื้นที่มาร่วมพัฒนาธุรกิจของคนรุ่นเก่า หรือเชื่อมโยงการลงทุนต่างชาติเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างอาชีพให้คนในชุมชน การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการเชื่อมโยงนักศึกษาให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนบริเวณใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัย เป็นต้น
การเสวนา Youth In Charge Talk : Soft Power ไทย ไปอย่างไรต่อ
ในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมออกแบบแฟชั่นเพื่อผลักดัน Soft Power ไทยสู่สากล"
ในงาน “Sustainability Expo2023 (SX2023) วันที่ 2 ตุลาคม 2566 ณ SX Grand Plenary Hall ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ผู้เข้าร่วม
-
คุณประอรนุช ประนุช ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและดีไซน์เนอร์ ตลอดจนส่งเสริมการค้าและการส่งออกผลิตภัณฑ์จาก ผู้ประกอบการและดีไซน์เนอร์ไปสู่ตลาดสากล
-
คุณอภิญานันท์ จงภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัททอไหมสตูดิโอ ผู้สร้างสรรค์เสื้อผ้าจากศิลปะพื้นบ้าน (Folk Art) และผ้าท้องถิ่นในรูปแบบร่วมสมัย และเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน Soft Power ที่คณะวิจัยได้ทำการศึกษา
-
คุณจิรัชญา ชัยยาศักดิ์ เจ้าของแบรนด์ "JIIRA" เครื่องประดับที่มีแรงบันดาลใจจากท้องถิ่นภาคเหนือ โดยต่อยอดเครื่องเงินกะเหรี่ยงและไข่มุกน้ำจืดอย่างร่วมสมัยเพื่อส่งออกสู่ตลาดสากล และเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อน Soft Power ที่คณะวิจัยได้ทำการศึกษา
-
คุณภัทรนิดา เฉลียวปัญญา ตัวแทนเยาวชนจากโครงการสร้างสรรค์เครื่องประดับจากทุนวัฒนธรรมไทย – ออริไทย ที่ต่อยอดความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีไทย ประเพณี และความเชื่อมาเป็นเครื่องประดับที่ตีความและออกแบบให้สวมใส่ได้ง่ายและเข้าถึงคนรุ่นใหม่



ข้อค้นพบหรือประเด็นสำคัญ
-
เสน่ห์ความเป็นไทยที่หลากหลาย ทั้งวิธีการคิด วัฒนธรรม วิถีชีวิต และวัสดุ ฯลฯ สามารถนำมาต่อยอดเป็นองค์ประกอบของเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้อย่างสร้างสรรค์ “คนไทยยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต เรียนรู้ง่ายปรับตัวง่าย จึงมีการประยุกต์ใช้สิ่งใกล้ตัวให้เกิดประโยชน์ ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มไปสุ่อุตสาหกรรมออกแบบ ที่เป็น Soft Power ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประเทศได้” เพราะความเป็นไทยมีวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์และหลากหลาย ถือเป็นจุดขายที่ทั่วโลกเห็นและสนใจ “แต้มต่อของประเทศไทย คือ ความคิดสร้างสรรค์ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีความสนุกสนานแฝงอยู่ในผลงาน”
-
การพัฒนาต่อยอดความเป็นไทยในอุตสาหกรรมแฟชั่นจะต้องมีความร่วมสมัย คนรุ่นใหม่เองก็อยากอนุรักษ์ความเป็นไทย “แต่การใส่ของไทยต้องดูไม่แก่” จึงควรพัฒนาและต่อยอดให้มีความสมัยใหม่ คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น สวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน
-
นอกเหนือจาก Passion ความคิดสร้างสรรค์ และการหยิบยกสิ่งใกล้ตัวมาสร้างแรงบันดาลใจแล้วดีไซน์เนอร์ควรคำนึงถึง “ความต้องการของตลาดเป็นสิ่งสำคัญ” ต้องเข้าใจว่าตลาดต้องการอะไรแต่ก็ต้องยึดมั่นในตัวตนของแบรนด์ เพราะการเข้าใจตลาดอย่างแท้จริงจะทำให้ดีไซน์เนอร์หรือแบรนด์ไทยไปไกลระดับโลกได้
-
สำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้ามีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนแฟชั่นดีไซเนอร์ไทยไปสู่ตลาดสากลมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ Maison & Objet งานแสดงสินค้าออกแบบตกแต่งภายในของฝรั่งเศส หรือ Milan Design Week เทศกาลออกแบบระดับโลก ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลีนอกจากนี้แล้วยังมีโครงการ Design Service Society เพื่อให้นักออกแบบหรือผู้ให้บริการออกแบบได้ให้คำปรึกษาผู้ประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออก
ข้อเสนอและแนวทางการทำงานร่วมกันเพื่อ “การพัฒนาย่านพัฒนาเมืองอย่างมีส่วนร่วม”
-
ภาคเอกชนควรเข้ามามีบทบาทและส่วนร่วมในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพและต่อยอดการศึกษาของเยาวชนไปสู่การเป็นอาชีพในอุตสาหกรรมแฟชั่นอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการ “เข้ามาค้นพบศักยภาพของเยาวชน” ในคณะวิชา ให้เยาวชนได้ทำงานร่วมกับนักออกแบบ จัดเวทีการ Pitching พื้นที่แสดงศักยภาพ เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์
-
การสนับสนุนจากภาครัฐ อาทิ กระทรวงพาณิชย์ หรือสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในการเชื่อมโยงการขับเคลื่อนของเยาวชนไปสู่เครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และมีตลาดในการจำหน่ายสินค้า อาทิ งานแสดงสินค้า หรือเทศกาลในระดับประเทศ และระดับสากล
-
การเชื่อมโยงตลาดอุตสาหกรรมแฟชั่นเข้ากับอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ การท่องเที่ยว เพื่อเป็นอีกตลาดที่สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการบูรณาการและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน
-
การสนับสนุนด้านงบประมาณ โดยเฉพาะต้นทุนจากวัสดุท้องถิ่นของไทย เพื่อส่งเสริมให้ดีไซเนอร์และผู้ประกอบการหันมาใช้วัสดุท้องถิ่นไทยมากยิ่งขึ้น
การการเสวนา Youth In Charge Talk : Soft Power ไทย ไปอย่างไรต่อ
ในหัวข้อ “การพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรี T-Pop สู่สากล"
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566
ณ ห้อง New Gen Space : Space for All Generations ชั้น 3
หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
ผู้เข้าร่วม
-
ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ นักประพันธ์ไทยเพลงคนแรกที่ได้รางวัล The Charles Ives Awards สาขาการประพันธ์เพลง (Charles Ives Fellowship) โดย American Academy of Arts and Letters ศิลปินศิลปาธร สาขาดนตรี ปี 2550 และคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
-
คุคุณพงศ์สิริ เหตระกูล ผู้บริหารค่ายเพลง NO1R ที่ผลักดัน T-Pop DNA ไทย ผู้บริหาร NYLON Thailand และTimeOut Bangkok สื่อแฟชั่นไลฟ์สไตล์ระดับสากล หนึ่งในผู้จัดเทศกาลดนตรีใจกลางเมือง Siam Music Festival และหนึ่งในคณะอนุกรรมการ สาขาดนตรี ภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
-
คุคุณปิยะพงษ์ เล็กประยูร (โปเต้ วง MEAN) ศิลปินและผู้บริหารค่ายเพลง Kiddo Records
-
คุณคุณอัษฎกร เดชมาก (AUTTA) Rapper ผู้สร้างสรรค์ศิลปะผ่านเสียงเพลงเพื่อสะท้อนตัวตนและสังคม
-
คุณโรจณัฐ เหล่ารุ่งเรืองชัย นักศึกษาดุริยางคศาสตร์เอกวิชาการประพันธ์ดนตรีที่สนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมดนตรี




-
Thailand Popular Music คือจักรวาลดนตรีที่ครอบคลุมหลากหลายแนว ทั้งป๊อป ร็อค อาร์แอนด์บี ตลอดจนวงอินดี้ โดยคุณพงศ์สิริระบุว่าซีนดนตรีที่ใหญ่มากในประเทศไทยคือ ดนตรีอีสาน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณอัษฎกรได้เสนอว่าคนในอุตสาหกรรมดนตรีจำเป็นต้องทำให้การเล่นดนตรีและการเป็นศิลปินเป็น “อาชีพ” ที่เลี้ยงชีพให้ได้ก่อนจึงจะสามารถมีพลังมากพอในการผันตัวมาพัฒนาอุตสาหกรรมต่อได้ โดยคุณพงศ์สิริกล่าวต่อว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ สาขาดนตรี กำลังเริ่มต้นการประชุมเพื่อวางรากฐานอุตสาหกรรมดนตรีให้แข็งแรง ตั้งแต่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สวัสดิการ ค่าแรง การสนับสนุนการผลิตและส่งออก ตลอดจนกฎหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็น Pain Point สำคัญของคนในอุตสาหกรรมดนตรี
-
ในมุมมองของคุณพงศ์สิริอุตสาหกรรมดนตรีประเทศไทยอาจจะไม่สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมดนตรีของประเทศเกาหลีในด้านเงินลงทุนได้ แต่ประเทศไทยสามารถแข่งขันจากวิถีของดนตรีแบบไทยหรือความมันส์ ความสนุกสนานแบบไทยได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ดนตรีของไทยแตกต่างไปจากต่างประเทศอื่น ๆ ที่แม้แต่ประเทศเกาหลีก็ยังไม่สามารถมีได้ ดังนั้นจึงมีการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงการหรือระบบที่รองรับศิลปินและนักดนตรีในประเทศไทย อาทิ 1) สวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ สวัสดิการสำหรับอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ ดูแลเรื่องความเหมาะสม ตลอดจนความปลอดภัยของการแสดงและสถานที่เล่นดนตรี 2) สนับสนุนการผลิตและการตลาด ผ่านการรับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นสำหรับทำ Music Video สำหรับอัดเพลง และเชิญศิลปินจากต่างประเทศมา Featuring รวมถึงสำหรับการเดินทางไปแสดงที่ต่างประเทศ ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาโครงสร้างหรือระบบที่รองรับศิลปินและนักดนตรีที่มีตลาดอยู่ในต่างประเทศด้วยเช่นกัน
-
นอกจากนี้แล้วในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดนตรีให้เป็น Soft Power ของไทยจำเป็นต้องมีการเลือก “หัวหอก” ประเภทดนตรี ศิลปิน หรือวงดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมเป็นตัวจุดฉนวนในการขับเคลื่อน ซึ่งหมายถึง T-Pop โดยมีคณะกรรมการที่สรรหาและคัดเลือกอย่างเป็นระบบ ภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ สาขาดนตรี แต่ก็ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเพราะเชื่อดนตรีประเภทอื่น ๆ ศิลปิน และวงดนตรีอื่น ๆ จะได้รับประโยชน์ตามมาอย่างแน่นอน คุณอัษฎกรกล่าวเสริมว่าสามารถเชื่อมโยงหัวหอกนั้นเข้ากับอุตสาหกรรมซีรีส์วายที่ประเทศไทยเป็น Blue Ocean ในตลาดโลกได้เช่นกัน ซึ่งดร.ณรงค์ คุณพงศ์สิริ และคุณโรจณัฐต่างเห็นด้วยว่าควรมีการบูรณาการข้ามอุตสาหกรรมทั้งดนตรี ภาพยนตร์ ซีรีส์ และเกมส์ ซึ่งล้วนจำเป็นต้องมีการใช้ดนตรีหรือเพลงประกอบทั้งสิ้น นอกจากนี้แล้วดร.ณรงค์ยังเสนอว่าควรมีการพัฒนามาตรฐานของดนตรีและบุคลากรในอุตสาหกรรมให้สูงขึ้นเพื่อสร้างตลาดที่แพงสมมาตรฐานและผู้บริโภคยอมจ่าย
-
ในด้านการศึกษา ดร.ณรงค์กล่าวว่าสถานศึกษาควรสร้างเส้นทางอาชีพให้กับนักศึกษา ทำให้เยาวชนเห็นว่าสิ่งที่เรียนสามารถทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้จริง กรณีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีการดำเนินงานร่วมกับค่ายเพลง เปรียบเสมือน Training Center ที่บ่มเพาะและส่งต่อเยาวชนที่เหมาะสมกับ Persona ของแต่ละค่ายเพลง มีการเรียนการสอนวิชาดนตรีร่วมกับการเรียนรู้ด้านธุรกิจและการจัดการ รวมถึงการเรียนการสอนเรื่องการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและ AI สำหรับอุตสาหกรรมดนตรี เพื่อให้นักศึกษาได้นำไปต่อยอดในสายอาชีพได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามคุณอัษฎกรกล่าวเสริมว่าเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันที่สำเร็จการศึกษาจบจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล หลายคนไม่ได้ทำอาชีพนักดนตรีหรืออยู่ในอุตสาหกรรมนี้เลย จึงเสนอว่าควรมีระบบที่ดูแลศิลปินและนักดนตรีที่เพิ่งเริ่มต้นหรือยังไม่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน เพื่อหล่อเลี้ยงให้พวกเขาเหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จและเลี้ยงชีพได้ด้วยอาชีพนักดนตรี
-
การเรียนการสอนเรื่องศิลปะในโรงเรียน ควรให้ความสำคัญในมิติของการชื่นชม (Art Appreciation) ซึ่งจะส่งผลต่อความนิยมของผู้บริโภคต่องานศิลปะที่จะแตกแขนงและหลากหลายมากยิ่งขึ้น และจะนำไปสู่การสร้างตลาดที่กว้างขึ้นและมีกลุ่มผู้ฟังใหม่ ๆ ให้บริโภคดนตรีหลากหลายประเภท รวมถึงเห็นถึงความสำคัญของดนตรีในฐานะศิลปะและให้การสนับสนุนลิขสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
-
ด้านค่ายเพลง คุณปิยะพงษ์กล่าวว่าในปัจจุบัน T-Pop มีการแข่งขันระหว่างค่ายเพลงที่สูงมาก แต่ค่ายเพลงก็ได้เรียนรู้จากกันและกันและเรียนรู้จากวงการเพลงต่างประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดการดำเนินงานและการพัฒนาศิลปินต่อไป
-
ควรมีการเชิญผู้จัดเทศกาลดนตรีจากต่างประเทศมาดูงานและร่วมจัดเทศกาลในประเทศไทย ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้งบประมาณไม่มาก เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกับทั้งการจัดเทศกาลในไทยและต่างประเทศ รวมถึงยังเป็นการสร้างการเข้าถึง (Access) และการตระหนักรู้เกี่ยวกับศักยภาพของศิลปินไทย ที่หวังว่าจะนำไปสู่การส่งออกศิลปินไทยไปแสดงผลงานที่ต่างประเทศต่อไป
-----------------------------------------------------------------------